2552/03/20
คุณธรรม จริยธรรม
1.ขยัน คือ ความตั้งใจเพียรพยายามทำหน้าที่การงานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ อดทน ความขยันต้องปฏิบัติควบคู่กับการใช้สติปัญญา แก้ปัญหาจนเกิดผลสำเร็จ
2.ประหยัด คือ การรู้จักเก็บออม ถนอมใช้ทรัพย์สิน สิ่งของแต่พอควรพอประมาณ ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า ไม่ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ
3.ซื่อสัตย์ คือ ประพฤติตรงไม่เอนเอียงไม่มีเล่ห์เหลี่ยมมีความจริงใจ ปลอดจากความรู้สึกลำเอียงหรืออคติ
4.มีวินัย คือ การยึดมั่นในระเบียบแบบแผน ข้อบังคับและข้อปฏิบัติ ซึ่งมีทั้งวินัยในตนเองและวินัยต่อสังคม
5.สุภาพ คือ เรียบร้อย อ่อนโยน ละมุนละม่อม มีกิริยามารยาทที่ดีงาม มีสัมมาคารวะ
6.สะอาด คือ ปราศจากความมัวหมองทั้งกาย ใจ และสภาพแวดล้อม ความผ่องใสเป็นที่เจริญตาทำให้เกิดความสบายใจแก่ผู้พบเห็น
7.สามัคคี คือ ความพร้อมเพียงกัน ความกลมเกลียวกัน ความปรองดองกัน ร่วมใจกันปฏิบัติงานให้บรรลุ ผลตามที่ต้องการเกิดงานการอย่างสร้างสรรค์ปราศจากการทะเลาะวิวาท ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน เป็นการยอมรับความมีเหตุผล ยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางความคิด ความหลากหลายในเรื่องเชื้อชาติ ความกลมเกลียวกันในลักษณะเช่นนี้ เรียกอีกอย่างว่า ความสมานฉันท์
8.มีน้ำใจ คือ ความจริงใจที่ไม่เห็นแก่เพียงตัวเองหรือเรื่องของตัวเอง แต่เห็นอกเห็นใจเห็นคุณค่าในเพื่อน มนุษย์ มีความเอื้ออาทรเอาใจใส่ ให้ความสนใจในความต้องการ ความจำเป็น ความทุกข์สุขของผู้อื่น และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน
จริยธรรม คือ หลักการประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นคนดี
จริยธรรม มาจากคำ 2 คำคือ- จริย หมายถึง ความประพฤติ- ธรรม มีความหมายหลายอย่าง เช่น ความดี หลักคำสอนทางศาสนา หลักปฏิบัติดังนั้น เมื่อคำทั้งสองมารวมกัน จริยธรรม ก็หมายถึง หลักความประพฤติหรือแนวทางแบบอย่างของความประพฤติ
จริยธรรมของบุคคลหนึ่ง จึงอาจมีพื้นฐานมาจากธรรมชาติ เพราะมนุษย์ทุกคนมีพันธะหน้าที่ต่อธรรมชาติ และเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เช่น จะต้องรักษาธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมไว้ให้สมดุล ไม่ลักขโมย และทำร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ให้ความรักตนเองและผู้อื่น ซึ่งจะเห็นว่า มนุษย์ควรมีจริยธรรมทั้งต่อธรรมชาติ อันได้แก่ พืช สัตว์ ทรัพยากรต่าง ๆ ซึ่งถ้ามนุษย์มีการประพฤติปฏิบัติต่อธรรมชาติอย่างเหมาะสม เช่น ไม่ทำลายพืช สัตว์ สิ่งแวดล้อม และใช้ทรัพยากรโดยคำนึงถึงความยั่งยืนแล้ว ย่อมส่งผลดีต่อการดำรงชีวิตใน ทุกด้านทุกวันนี้ เราใช้ทรัพยากรกันโดยไม่ประหยัด ขณะเดียวกันเราก็ทำลายสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ทำให้เกิดผลกระทบต่อมนุษย์อย่างมาก เช่น มลภาวะที่เกิดจากน้ำเสีย อากาศเป็นพิษ อากาศเปลี่ยนแปลง ปรากฎความแห้งแล้งอย่างไม่เคยมีมาก่อน หรือบางภูมิภาคก็เกิดอุทกภัย เกิดแผ่นดินไหว ปรากฎการณ์ธรรมชาติเหล่านี้ ต้องยอมรับว่า ส่วนหนี่งเป็นเพราะมนุษย์เป็นผู้ทำให้เกิดขึ้นดังนั้น ถ้ามนุษย์มีจริยธรรมในการประพฤติปฏิบัติต่อธรรมชาติอย่างเหมาะสม ก็อาจลดปัญหาของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์เผชิญอยู่ในปัจจุบันได้
2552/03/14
การทำงานของเครื่องโทรศัพท์เบื้องต้น
ส่วนประกอบเบื้องต้นของเครื่องโทรศัพท์
เนื่องจากเครื่องโทรศัพท์ที่มีในท้องตลาดปัจจุบัน จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมเข้าไปมากมาย แท้จริงแล้วถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เครื่องก็สามารถทำงานได้ ในส่วนนี้จะกล่าวเฉพาะส่วนประกอบเบื้องต้นที่สำคัญของเครื่องโทรศัพท์
รูปแสดงส่วนประกอบภาพภายนอกเครื่องโทรศัพท์
วงจรเบื้องต้นของเครื่องโทรศัพท์
รูปสัญลักษณ์ของเครื่องโทรศัพท์
1.Transmitter
โดยทั่วไปเราเรียกว่า “ปากพูด” อุปกรณ์ตัวนี้แท้จริงแล้วก็คือ Microphone ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนเสียงพูดให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า Transmitter ที่ใช้ในเครื่องโทรศัพท์ปัจจุบันมีอยู่ 3 แบบ
1 แบบ Carbon
2 แบบ Dynamic
3 แบบ Condenser
เครื่องโทรศัพท์รุ่นใหม่ ๆ จะนิยมใช้ Condenser เป็น Transmitter เพราะขนาดเล็ก ราคาถูก ความไวสูงกว่าแบบอื่น ๆ
2. Receiver
โดยทั่วไปเรียกว่า “หูฟัง” ซึ่งก็คือ ลำโพง Speaker ทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าเป็นสัญญาณเสียง ลักษณะโครงสร้างของ Receiverอาจไม่เหมือนลำโพงทั่วๆไปเพราะต้องออกแบบให้มีขนาดเล็กและมีรูปร่างที่ถูกจำกัดไว้ด้วยพื้นที่ แต่หลักการทำงานเหมือนเดิม
3. Hook Switch
ลักษณะของ HookSwitchก็คือSwitch2ทางทำหน้าที่เลือกว่าจะให้Lineโทรศัพท์ต่อเข้ากับวงจรกระดิ่ง(Ringer)หรือต่อเข้ากับวงจรปากพูด หูฟัง
การทำงานของเครื่องโทรศัพท์
ส่วนประกอบเบื้องต้นของเครื่องโทรศัพท์
เนื่องจากเครื่องโทรศัพท์ที่มีในท้องตลาดปัจจุบัน จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมเข้าไปมากมาย แท้จริงแล้วถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เครื่องก็สามารถทำงานได้ ในส่วนนี้จะกล่าวเฉพาะส่วนประกอบเบื้องต้นที่สำคัญของเครื่องโทรศัพท์

รูปแสดงส่วนประกอบภาพภายนอกเครื่องโทรศัพท์
วงจรเบื้องต้นของเครื่องโทรศัพท์
รูปสัญลักษณ์ของเครื่องโทรศัพท์
1.Transmitter
โดยทั่วไปเราเรียกว่า “ปากพูด” อุปกรณ์ตัวนี้แท้จริงแล้วก็คือ Microphone ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนเสียงพูดให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า Transmitter ที่ใช้ในเครื่องโทรศัพท์ปัจจุบันมีอยู่ 3 แบบ
1 แบบ Carbon
2 แบบ Dynamic
3 แบบ Condenser
เครื่องโทรศัพท์รุ่นใหม่ ๆ จะนิยมใช้ Condenser เป็น Transmitter เพราะขนาดเล็ก ราคาถูก ความไวสูงกว่าแบบอื่น ๆ
2. Receiver
โดยทั่วไปเรียกว่า “หูฟัง” ซึ่งก็คือ ลำโพง Speaker ทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าเป็นสัญญาณเสียง ลักษณะโครงสร้างของ Receiverอาจไม่เหมือนลำโพงทั่วๆไปเพราะต้องออกแบบให้มีขนาดเล็กและมีรูปร่างที่ถูกจำกัดไว้ด้วยพื้นที่ แต่หลักการทำงานเหมือนเดิม
3. Hook Switch
ลักษณะของ HookSwitchก็คือSwitch2ทางทำหน้าที่เลือกว่าจะให้Lineโทรศัพท์ต่อเข้ากับวงจรกระดิ่ง(Ringer)หรือต่อเข้ากับวงจรปากพูด หูฟัง
รูปแสดงลักษณะและสัญลัษณะของ Hook Switch
Block Diagram แสดงหน้าที่ Hook Switch
ในขณะที่ไม่มีการใช้โทรศัพท์ Hook Switch จะต่อเข้ากับ Line เข้ากับวงจรกระดิ่ง แต่เมื่อมีการยกหู Hook Switch จะต่อ Line เข้ากับ วงจร ปากพูด หูฟังทันที โดยตัดวงจรกระดิ่งออกไปHook Switch จะทำงานเมื่อมีการยกห ูหรือวางหู เพราะ Hand Set จะวางทับ Hook Switch ไว้เวลายกขึ้น ก็จะปล่อยเวลาวางลงก็จะทับ ทำให้ Hook Switch ทำงาน
4. HAND SET
Hannd Set โดยทั่วไปเราจะเรียกว่า “มือถือ” หรือ “หูโทรศัพท์” ดังเช่น เรามักจะพูดว่า “ถือหูโทรศัพท์” หรือ “ยกหูโทรศัพท์” เป็นต้น Hand Set จะทำหน้าที่เป็นที่อยู่ของปากพูดและหูฟัง ซึ่งจะออกแบบ Hand Set ให้เหมาะสม ง่ายต่อการพูดและฟัง พร้อม ๆ กัน
เนื่องจาก Hand Set จะมีปากพูดและหูฟังภายใน เวลาโทรศัพท์ต้องให้ตำแหน่งปากพูดอยู่ใกล้ปากและหูฟังอยู่ใกล้หู จึงทำการสนทนาได้
5. DIAL
DIALหรือหน้าปัดโทรศัพท์ ทำหน้าที่ให้ผู้โทรศัพท์หมุนหรือกดหมายเลขปลายทางที่ต้องการหมุนหรือกดแล้วจะมีวงจรสร้างสัญญาณรหัสขึ้นมาตามตัวเลขที่เรากดหรือหมุนส่งไปยังชุมสายโทรศัพท์ให้ถอดรหัสแล้วค้นหาผู้รับต่อไป
หน้าปัดของเครื่องโทรศัพท์มี 2 แบบ
1 แบบหมุน (Rotary Dial)
2 แบบกดปุ่ม (Pulse Button)
ลักษณะของหน้าปัดโทรศัพท์
6. INDUCTION COIL
ขดลวดเหนี่ยวนำ ในเครื่องโทรศัพท์ จะทำหน้าที่ปรับอิมพีแดนซ์ให้เหมาะสมกับ Line และป้องกันไม่ให้เกิด Side Tone ระหว่างปากพูดและหูฟัง
รูปแสดงการต่อ Induction Coil
ในปัจจุบันโดยเฉพาะเครื่องที่มีอุปกรณ์ Semiconductor อยู่ด้วยจะไม่มี Inductor Coil ให้เห็น แต่จะมีการออกแบบวงจรชดเชยด้านอื่น
7. PROTECTOR
หรือตัวป้องกันจะทำหน้าที่ป้องกันเครื่องไม่ให้ได้รับอันตรายจากไฟสูงหรือไฟกระชาก ที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอโดยเฉพาะฟ้าผ่าหรือไฟกระชาก ที่เกิดจากการยกหู วางหู หรือหมุนหน้าปัด อันทำให้อุปกรณ์เสียหายได้ โดยทั่วไปจะมีตัวป้องกันไฟสูงต่ออยู่ก่อนที่ Line จะเข้าบ้านอยู่แล้ว แต่ในเครื่องก็ยังคงมีอีก เพื่อให้เกิดความปลอดภัย
รูปอุปกรณ์ Protector
8. RINGER
Ringer หรือ Bell เป็นตัวที่ทำให้เกิดกระดิ่งดังขึ้นในเครื่องโทรศัพท์ เพื่อเรียกให้ผู้รับโทรศัพท์
ปัจจุบันมี 3 แบบ
8.1 Magneto Ringer
เป็นวงจรกระดิ่งที่มีอยู่ในเครื่องรุ่นเก่า โครงสร้างแสดงตามรูป
รูปวงจรเครื่องรับโทรศัพท์ในระบบ Magneto
จากวงจรโทรศัพท์ในระบบ Magneto จะเห็นว่ามีสิ่งสำคัญอยู่ 3 อย่าง คือ Battery , Magneto , Generator และวงจรโทรศัพท์ วงจรนี้จะมี Battery อยู่ด้วย เพื่อเป็นไฟเลี้ยงวงจร และเลี้ยง Line เพราะในระบบนี้ จะเป็นระบบ Local Battery คือผู้เช่า (Subscriber) จะต้องมี Battery ประจำทุกเครื่อง ส่วน Magneto Generator นั้นมีไว้เพื่อให้ผู้โทรศัพท์ (ผู้เรียก) หมุนเพื่อเรียก Operator ซึ่งเมื่อหมุน Magneto จะมีไฟประมาณ 50 VAC วิ่งไปตาม Line เพื่อให้หลอดไฟ หรือกระดิ่งของ Operator ทำงาน
การทำงานของ Magneto Ringer เมื่อไฟกระดิ่งจากชุมสายประมาณ 50 VAC เข้ามาขดลวดจะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้นในขดลวดและทำให้ P1 และ P2 เกิดเป็นสนามแม่เหล็กขึ้นมา โดยมีขั้วสลับ N-S กันตลอดเวลา และดูดก้านตีให้เคลื่อนที่ ก้านตีจะไปตีด้วยกระดิ่งความเร็วตามความถี่ของไฟกระดิ่ง ประมาณ 25Hz
8.2 Buzzer Ringer
ในเครื่องรุ่นใหม่จะนิยใช้ Buzzer เพราะมีขนาดเล็กราคาถูกกินกระแสน้อย และยังสามารถเลือกชนิดของเสียงได้ตามชนิดของ Buzzer
รูปแสดงวงจร Buzzer Ringer
การทำงาน Buzzer Ringer เมื่อมีไฟกระดิ่ง 90 VAC 25 Hz จะถูก R1 ลดขนาด Voltage ลงให้เหลือพอเหมาะ D1-D4 จะ Rectifier และ C1 จะทำการ Filter ให้เป็น DC ส่วน Z1 จะ Regulate Voltage ให้คงที่ เพื่อป้อนไฟเลี้ยง ให้ IC1 ให้ IC1 กำเนิด Pulse ออกมาใหม่ มีความถี่ประมาณ 10 Hz เพื่อให้ Buzzer โดยมี R3 และ R4 เป็นตัวเร่ง – ลดเสียง
รูปสัญญาณที่จุดต่าง ๆ ในวงจรกระดิ่ง
ปกติแล้ว Buzzer ที่ใช้จะเป็นแบบ Piezo Buzzer ซึ่งจะทำงานด้วย AC Pulse ถ้าเราเอาสัญญาณ AC 25 Hz ที่เข้ามาแล้วลดขนาดลงให้พอเหมาะป้อนให้ Buzzer โดยตรงก็ได้ แต่ความถี่ AC 25 Hz สูงเกินไป ทำให้เสียงที่ออกมาไม่น่าฟัง จึงต้องมี IC1 สร้าง Pulse ที่มีความถี่เหมาะสมขึ้นมาใหม่
8.3 SPEAKER RINGER
เครื่องที่มีราคาสูง มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น มี วงจร Hand Free (สนทนาโดยไม่ต้องยกหู) ส่วนมากจะใช้ Speaker เป็น Ringer เพราะเครื่องที่มี Speaker ใช้อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมี Buzzer อีก โดยดัดแปลงวงจร Buzzer Ringer ให้สามารถใช้กับ Speaker ได้ แสดงตามรูป
วงจร Speaker Ringer จะดัดแปลงมาจาก Buzzer Ringer โดยนำสัญญาณ IC1 ป้อนเข้าหม้อแปลง (Transformer) หรือ ลดหรือเพิ่ม Voltage และลดเหลี่ยมของ Pulse ให้มี Slop บ้าง ซึ่งจะทำให้ Speaker ไม่เสียหาย
รูปแสดงสัญญาณจุดต่าง ๆ ในวงจร Speaker Ringer
การทำงานVoIPและCTI
ส่วนประกอบของเครื่องโทรสาร
หลักการทำงานเบื้องต้นของเครื่องโทรสาร
เครื่องโทรสารหรือนิยมเรียกสั้นๆ ว่า “ แฟกซ์ ” ( FAX) ได้พัฒนาหลักการทำงานมาจากเครื่องถ่ายเอกสาร หรือการถ่ายเอกสารจากที่หนึ่งส่งผ่านคู่สายโทรศัพท์ไปยังอีกที่หนึ่ง โดยเอกสารปลายทางที่ได้รับจะเหมือนเอกสารต้นทาง หลักการทำงานเบื้องต้น คือเครื่องโทรสารที่ต้นทางจะทำการเปลี่ยนข้อมูลของเอกสารหรือภาพนิ่งต้นฉบับ (Original Document or Still Picture) ให้เป็นสัญญาณทางแสง จากนั้นสัญญาณทางแสงจะถูกเปลี่ยนให้เป็นสัญญาณทางไฟฟ้า (Electric Signal) โดยมีการเข้ารหัสข้อมูล แล้วส่งผ่านระบบสื่อสารไปยังปลายทาง เครื่องโทรสารปลายทางเมื่อได้รับสัญญาณจะทำการเปลี่ยนจากสัญญาณทางไฟฟ้าให้เป็นสัญญาณทางแสงเพื่อใช้สร้างเอกสารหรือภาพนิ่งบนกระดาษ (Hard Copy) ที่เหมือนกับต้นฉบับ
การทำงานประกอบด้วยสามส่วน คือ การทำงานด้านส่งที่ทำหน้าที่แปลงเอกสารเป็นข้อมูลเพื่อจัดส่ง (Sending Operation) การส่งผ่านข้อมูลผ่านระบบสื่อสาร (Transmission) และการทำงานด้านรับที่ทำหน้ารับสัญญาณแล้วแปลงเป็นข้อมูลเพื่อจัดทำเอกสาร (Receiving Operation) การส่งผ่านข้อมูลจะส่งผ่านตามคู่สายโทรศัพท์ คลื่นวิทยุ หรือคลื่นไมโครเวฟขึ้นอยู่กับสถานที่และระบบการสื่อสารที่ใช้ ส่วนที่ทำหน้าที่แปลงเอกสารเพื่อจัดส่ง ลักษณะการทำงานประกอบด้วยสามส่วน คือ การสแกน (Scanning) การเปลี่ยนสัญญาณแสงเป็นสัญญาณทางไฟฟ้า (Opto -Electric Conversion) และ เทคนิคการส่งผ่านระบบสื่อสาร (Transmission Technique)
การสแกน (Scanning)
ตัวอักษรหรือรูปภาพประกอบด้วยจุดเล็กๆ จำนวนมากรวมกัน จุดเล็กๆ เหล่านี้เรียกว่า “ จุดภาพ ” ที่ด้านส่งของเครื่องโทรสารจะมีขบวนการจัดแจงเอกสาร หรือรูปภาพต้นฉบับให้เป็นจุดภาพ เพื่อแปลงเป็นสัญญาณทางไฟฟ้า (Electric Signals) ในขณะที่ด้านรับของเครื่องโทรสารมีการทำงานที่ย้อนกลับกับด้านส่ง ขบวนการหรือวิธีการแปลงรูปภาพต้นฉบับให้เป็นจุดภาพที่ด้านส่ง หรือแปลงจุดภาพ กลับเป็นเอกสารหรือรูปภาพที่ด้านรับของเครื่องโทรสาร เรียกว่า “ การสแกน ” ทิศทางของการสแกนจะเหมือนกัน ทั้งด้านรับและด้านส่ง คือ การสแกนจากซ้ายไปขวาตามแนวนอน (Horizontal Scanning) และการสแกนจากบนลงล่างตามแนวตั้ง (Vertical Scanning) การสแกนตามแนวนอนเรียกว่า การสแกนหลัก (Main Scanning) และสแกนตามแนวตั้ง เรียกว่า การสแกนย่อย (Sub-Scanning) จุดภาพที่เกิดขึ้นจากการสแกนมีอยู่สองประเภท คือ จุดภาพที่เป็นสีขาว (White Picture Element) และจุดภาพที่เป็นสีดำ (Black Picture Element) การสแกนเป็นแบบต่อเนื่องและรวดเร็ว โดยการสแกนแต่ละครั้งตามแนวตั้งจะได้เป็นเส้น ที่เกิดจากการสแกน เรียกว่า “ เส้นสแกน ( Scanning Line)” โดยที่ความหนาแน่นของเส้นสแกน (Scanning Line Density) คือจำนวนเส้นต่อมิลลิเมตร (Line/mm) สำหรับความหนาแน่นตามแนวนอนเกิดจาก จุดภาพ ( Picture Element) จำนวนมากมายที่รวมตัวกันอยู่ ดังนั้นความหนาแน่นตามแนวนอน คือ จำนวนของจุดภาพต่อมิลลิเมตร (Pel/mm)
การเปลี่ยนสัญญาณแสงเป็นสัญญาณทางไฟฟ้า (Opto - Electrical Conversion)
ในขณะเริ่มต้นของการสแกน เครื่องโทรสารจะยิงแสงตกกระทบที่เอกสารต้นฉบับ และอาศัยหลักการสะท้อนของแสง เมื่อแสงตกกระทบกับพื้นที่ที่มีสีแตกต่างกัน เช่น สีขาวกับสีดำ โดยสีขาวจะสะท้อนแสงได้ดีกว่าสีดำ ดังนั้นความเข้มของแสงสะท้อนที่ได้จากเอกสาร จะมีความแตกต่างกัน จากนั้นแสงสะท้อนจะถูกส่งผ่านเลนซ์นูนในการรวมแสง แล้วส่งให้วงจรทำหน้าที่แปลงระดับความเข้มของแสงเป็นสัญญาณทางไฟฟ้า (Opto-Electrical Conversion Element) สัญญาณทางไฟฟ้าที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่า “ สัญญาณภาพ ” (Picture Signal)
เทคนิคการส่งสัญญาณ (Transmission Technique)
เครื่องโทรสารด้านส่งจะต้องมีการเข้ารหัสสัญญาณภาพ ( Picture Signal) และทำการผสมสัญญาณ ( Modulate ) ก่อนที่จะถูกส่งไปยังเครื่องโทรสาร ด้านรับตามลำดับ การพัฒนาของเครื่องโทรสารสามารถแบ่งได้เป็นสี่กลุ่ม [1] ดังนี้
ก.) กลุ่มที่หนึ่ง (Group I: G1)
การกำหนดระบบที่ใช้กับเครื่องโทรสารสมัยเริ่มแรก เรียกว่า “ กลุ่มที่หนึ่ง ” (Group I: G1) โดยการนำสัญญาณภาพ ที่ได้การเปลี่ยนสัญญาณแสงเป็นสัญญาณทางไฟฟ้า แล้วทำการผสมสัญญาณแบบเอเอ็ม (Amplitude Modulation: AM) หรือแบบเอฟเอ็ม (Frequency Modulation: FM) เพื่อใช้ในการส่งสัญญาณผ่านระบบสื่อสาร สำหรับด้านรับเมื่อได้รับสัญญาณแล้วจะทำการ แยกสัญญาณ เพื่อให้ได้สัญญาณภาพกลับคืนมา แล้วเข้าสู่ขบวนการจัดทำให้เป็นเอกสารใหม่ (Hard Copy) เพื่อให้ได้รูปแบบเหมือนกับเอกสารต้นฉบับต่อไป มาตรฐานของกลุ่มที่หนึ่ง กำหนดให้ใช้เวลาในการรับส่งเอกสารขนาด A4 ( ๒๑๐ mm x ๒๙๗ mm) ใช้เวลาประมาณ ๖ นาที โดยมีความละเอียดของความหนาแน่นของเส้นสแกน ๓.๘๕ เส้นต่อมิลลิเมตร ใช้การผสมสัญญาณแบบแบบเอเอ็ม หรือเอฟเอ็ม
ข.) กลุ่มที่สอง (Group II: G2)
มาตรฐานของเครื่องโทรสารแบบกลุ่มที่สอง ถูกกำหนดขึ้นเมื่อปี คศ. 1976 ( พ.ศ. ๒๕๑๙ ) เป็นการพัฒนาปรับปรุงการผสมสัญญาณ และการแยกสัญญาณ โดยใช้การผสมสัญญาณแบบเอเอ็ม วีเอสบี (Amplitude Modulation Vestigial Sideband: AM VSB) หรือการผสมสัญญาณแบบพีเอ็ม วีเอสบี (Phase Modulation Vestigial Sideband: PM VSB) ทำให้สามารถลดเวลาที่ต้องใช้ในการรับส่งข้อมูลเอกสารขนาด A4 เหลือเพียงประมาณ ๓ นาที โดยรายละเอียดของเอกสารมีความละเอียดของความหนาแน่นของเส้นสแกนเท่ากับเครื่องโทรสารแบบกลุ่มที่หนึ่ง
ค.) กลุ่มที่สาม (Group III: G3)
เครื่องโทรสารในกลุ่มที่หนึ่งและกลุ่มที่สอง เทคนิคที่ใช้ในการส่งสัญญาณเป็นแบบ แอนะล็อก (Analog) แต่ในกลุ่มที่สามได้นำรูปแบบการส่งสัญญาณแบบ ดิจิทัล (Digital) รวมทั้งใช้เทคนิคการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อใช้ในการลดปริมาณข้อมูล (Data Compression Process Coding Mode or Coding Scheme) ทำให้สามารถส่งสัญญาณด้วยอัตราเร็วถึง ๙๖๐๐ บิทต่อวินาที (Bit/sec) ลดเวลาที่ต้องใช้ในการรับส่งเอกสารต้นฉบับขนาด A4 เหลือเพียงประมาณ ๑ นาที ในการสแกนแต่ละครั้งจะมีจำนวนจุดภาพที่เป็นสีขาว และจุดภาพที่เป็นสีดำที่ต่อเนื่องกันเรียกว่า สีขาวต่อเนื่อง (White run) และสีดำต่อเนื่อง (Black run) การสแกนตามแนวนอนในแต่ละครั้ง ตามเส้นสแกนซึ่งมีความยาว ๒๑๕ มิลลิเมตร จะได้จำนวนจุดภาพทั้งหมด ๑,๗๒๘ จุดภาพ การลดปริมาณข้อมูลดังกล่าวทำได้โดยอาศัยการเข้ารหัส (Coding) ในส่วนที่เป็นสีขาวต่อเนื่อง หรือสีดำต่อเนื่อง การเข้ารหัสที่กำหนดตามมาตรฐานมีอยู่ สอง ประเภท คือ การเข้ารหัสระนาบเดียว (One-Dimension Coding Scheme) และการเข้ารหัสสองระนาบ (Two- Dimension Coding Scheme) การเข้ารหัสจะอ้างอิงตามตารางรหัสจบ (Terminating Codes) และรหัสสร้าง ( Make up Codes) ที่กำหนดโดยสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศตามมาตรฐานแนะนำชุดที T (ITU CCITT Recommendation T Series) [2] การเข้ารหัสระนาบเดียว (One-dimension Coding Scheme) เป็นการอาศัยจุดภาพจากการสแกนที่เป็นจุดสีขาวต่อเนื่อง หรือ สีดำต่อเนื่องมาเข้ารหัสตามตารางรหัสจบและรหัสสร้าง การเข้ารหัสระนาบเดียว มีชื่อเรียกอีกแบบ คือฮัฟฟ์แมนดัดแปลง ( Modified Huffman: MH) การเข้ารหัสสองระนาบ (Two-Dimensional Coding Scheme) ใช้ลักษณะบางส่วนของการเข้ารหัสระนาบเดียว ควบคู่กับการใช้ความสัมพันธ์ทางแนวดิ่งกับข้อมูลที่มีอยู่ โดยที่การสแกนครั้งแรกจะเป็นการเข้ารหัสระนาบเดียว เพื่อใช้เป็นเส้นอ้างอิงของการเข้ารหัสสองระนาบ หลังจากนั้นก็จะใช้การสแกนของการเข้ารหัสสองระนาบเป็นเส้นอ้างอิงในการเข้ารหัสครั้งต่อไป การเข้ารหัสสองระนาบ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าการอ่านแบบดัดแปลง ( Modified Reading: MR)
กลุ่มที่สี่ (Group 4: G4)
มาตรฐานของเครื่องโทรสารแบบกลุ่มที่สี่ เป็นการส่งข้อมูลแบบดิจิทัล โดยต้องเชื่อมต่อกับโครงข่ายข้อมูลสาธารณะ ( Public data network: PDN) ได้แก่ โครงข่ายข้อมูลสาธารณะแบบสลับวงจร (Circuit – Switched Public data Network: CSPDN) โครงข่ายข้อมูลสาธารณะแบบสลับกลุ่มข้อมูล (Packet – Switched Public Data Network: PSPDN) โครงข่ายบริการสื่อสารร่วมระบบดิจิทัล ( Integrated Services Digital Network: ISDN) และโครงข่ายโทรศัพท์สาธารณะ ( Public Switched Telephone network: PSTN) โดยเครือข่ายทั้งสี่ชนิดนี้ จะต้องมีการให้สัญญาณเรียกตอบแบบต่างๆคือ ตอบรับอัตโนมัติ ( Automatic Answering) ตอบรับการส่ง ( Transmission reception) และ ปล่อยหรือยกเลิก ( Clearing) เครื่องโทรสารกลุ่มที่สี่ แบ่งระดับได้เป็น สามชั้น คือ
ชั้นแรก ความต้องการขั้นต่ำสุดของเครื่องโทรสารชั้นนี้ คือ สามารถรับข้อมูลที่มีการเข้ารหัสแบบฮัฟฟ์แมนดัดแปลง หรือการอ่านแบบดัดแปลง
ชั้นที่สอง ความต้องการขั้นต่ำสุดของเครื่องโทรสารชั้นนี้คือ สามารถส่งข้อมูลของรหัสแฟกซ์และสามารถรับข้อมูลของรหัสแฟกซ์หรือรหัสเทเลเทกซ์ (Teletex Code) หรือรับได้ทั้งสองข้อมูล (Mixed – Mode) ในแผ่นเดียวกัน
ชั้นที่สาม ความต้องการขั้นต่ำสุดของเครื่องโทรสารชั้นนี้ คือ สามารถสร้าง ส่ง และรับข้อมูลของรหัสแฟกซ์ รหัสเทเลเทกซ์ และรับได้ทั้งสองข้อมูลในแผ่นเดียวกัน เครื่องโทรสารกลุ่มที่สี่ ต่อเชื่อมใช้งานกับโครงข่ายดิจิทัล (Digital Network) ด้วยอัตราข้อมูล ๖๔ กิโลบิทต่อวินาที การเข้ารหัสคล้ายกับกลุ่มที่สาม คือ ใช้การเข้ารหัสแบบสองระนาบ